การทดสอบการได้ยินเป็นการตรวจเพื่อวัดความสามารถในการได้ยินของบุคคล การทดสอบการได้ยินสามารถทำได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อตรวจหาความผิดปกติของการได้ยินตั้งแต่เนิ่นๆ และรับการรักษาที่เหมาะสม
การทดสอบการได้ยินในเด็กแรกเกิด
การทดสอบการได้ยินในเด็กแรกเกิดเป็นการตรวจที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเด็กแรกเกิดไม่สามารถแสดงอาการที่บ่งบอกถึงปัญหาการได้ยินได้ การทดสอบการได้ยินในเด็กแรกเกิดมักทำโดยใช้เครื่องตรวจการได้ยินแบบอัตโนมัติที่เรียกว่า Otoacoustic emissions (OAE) ซึ่งสามารถตรวจวัดการตอบสนองของเซลล์ขนภายในหูชั้นในต่อการกระตุ้นด้วยเสียง
การทดสอบการได้ยินในเด็กแรกเกิดมักทำภายใน 1 เดือนแรกหลังคลอด โดยปัจจุบันประเทศไทยมีนโยบายให้ทุกทารกแรกเกิดได้รับการตรวจการได้ยินภายใน 72 ชั่วโมงหลังคลอด หากผลการทดสอบพบว่าเด็กมีความบกพร่องทางการได้ยิน จะได้รับการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสารของเด็ก
การทดสอบการได้ยินในเด็กโตและผู้ใหญ่
การทดสอบการได้ยินในเด็กโตและผู้ใหญ่สามารถทำได้โดยใช้เครื่องตรวจการได้ยินแบบต่างๆ เช่น
- เครื่องตรวจการได้ยินแบบออดิโอเมตร (Audiometer) : เครื่องตรวจการได้ยินแบบออดิโอเมตรเป็นเครื่องมือมาตรฐานที่ใช้ตรวจวัดการได้ยิน โดยเครื่องตรวจการได้ยินแบบออดิโอเมตรจะส่งเสียงที่มีความถี่และระดับเสียงแตกต่างกันไปยังหูของผู้ป่วย และผู้ป่วยจะต้องตอบสนองต่อเสียงที่ได้ยิน
- เครื่องตรวจการได้ยินแบบ immittance meter : เครื่องตรวจการได้ยินแบบ immittance meter ใช้ตรวจวัดการทำงานของหูชั้นกลาง โดยเครื่องตรวจการได้ยินแบบ immittance meter จะส่งเสียงที่มีความถี่และระดับเสียงแตกต่างกันไปยังหูของผู้ป่วย และวัดการตอบสนองของหูชั้นกลางต่อเสียง
- เครื่องตรวจการได้ยินแบบ otoacoustic emissions (OAE) : เครื่องตรวจการได้ยินแบบ OAE เป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจวัดการตอบสนองของเซลล์ขนภายในหูชั้นในต่อการกระตุ้นด้วยเสียง
การทดสอบการได้ยินในเด็กโตและผู้ใหญ่มักทำโดยแพทย์หรือนักตรวจการได้ยิน โดยแพทย์หรือนักตรวจการได้ยินจะเลือกวิธีการตรวจที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
ประโยชน์ของการทดสอบการได้ยิน
การทดสอบการได้ยินมีประโยชน์มากมาย ดังนี้
- ช่วยให้สามารถตรวจหาความผิดปกติของการได้ยินตั้งแต่เนิ่นๆ
- ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสารของเด็ก
- ช่วยให้สามารถรักษาอาการหูไม่ได้ยินได้อย่างเหมาะสม
- ช่วยลดปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากอาการหูไม่ได้ยิน เช่น ปัญหาในการติดต่อสื่อสาร ปัญหาในการเรียน ปัญหาในการทำงาน ปัญหาด้านสังคม และปัญหาด้านจิตใจ
ข้อควรปฏิบัติก่อนการทดสอบการได้ยิน
ก่อนการทดสอบการได้ยิน ผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้
- หลีกเลี่ยงการฟังเสียงดังในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนการทดสอบ
- ไม่ควรล้างหูด้วยน้ำยาหรือก้านสำลีในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนการทดสอบ
- แจ้งให้แพทย์หรือนักตรวจการได้ยินทราบหากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาใดๆ
ข้อควรปฏิบัติหลังการทดสอบการได้ยิน
หลังการทดสอบการได้ยิน ผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้
- หากผลการทดสอบพบว่าผู้ป่วยมีความบกพร่องทางการได้ยิน ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หรือนักตรวจการได้ยินเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
- หากผลการทดสอบพบว่าผู้ป่วยไม่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแต่ควรหลีกเลี่ยงการฟังเสียงดัง